การจัดแสดงโซนที่ ๕

ไตรลักษณ์ สัจจะแห่งชีวิต

ขอนำท่านเข้าสู่การจัดแสดงโซนที่ ๕  “ไตรลักษณ์ สัจจะแห่งชีวิต”

โซนที่ ๕ นี้มีชื่อว่า “ไตรลักษณ์ สัจจะแห่งชีวิต” นำเสนอหลักสัจธรรมทางพระพุทธศาสนา ที่มุ่งสอนให้เข้าใจชีวิตของมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งปวงอันได้แก่ อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) ทุกขัง (ความทนอยู่ไม่ได้) อนัตตา (ความไม่มีตัวตน) เป็นการเรียนรู้ด้านจิตวิญญาณ เพื่อให้ตระหนักรู้ และเกิดความเข้าใจว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นสัจธรรมของทุกชีวิต เป็นเครื่องเตือนใจให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และดำรงตนด้วยความไม่ประมาท ผ่านงานประติมากรรมครึ่งพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในแต่ละช่วงวัย  ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์จนถึงก่อนเสด็จสวรรคต  จำนวน ๙ ชิ้นงาน เพื่อสื่อให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของพระวรกาย รูปปริศนาธรรมนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจว่า ไม่ว่าจะยากดีมีจน ดำรงยศศักดิ์หรือฐานันดรใดก็ตาม ก็ไม่อาจพ้นหลักไตรลักษณ์นี้ไปได้ สักวันหนึ่งต้องแตกดับสลายไปในที่สุด

ประติมากรรมกลุ่ม “ไตรลักษณ์”

งานประติมากรรมเหมือนจริงเต็มพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่มีความเป็นอุดมคติ แสดงรูปพระราชจริยวัตรในช่วงต่างๆ ขนาดใหญ่กว่าพระองค์จริงเล็กน้อย แท่นฐานของพระบรมรูปจะมีความสูงน้อยกว่าแท่นฐานที่ใช้ในงานพระบรมราชานุสาวรีย์ทั่วไป เพื่อสื่อถึงความใกล้ชิดกับประชาชน เช่นเดียวกับพระราชจริยวัตรที่ทรงใกล้ชิดกับประชาชนเสมอมา การหยิบยกพระราชจริยวัตร เช่น ความสนพระราชหฤทัยในสิ่งต่างๆ ความรัก การเจริญวัย พระราชอุปนิสัย และพระพลานามัย เหล่านี้แสดงให้เราเห็นถึงความสามัญอย่างปุถุชนทั่วไป

ช่วงที่ ๑:๒๔๗๐ – ๒๔๗๙;
https://www.cnmimuseum.com/wp-content/uploads/Zone-2-4.png;

– ๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ ทารกเพศชายนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม ได้กำเนิด ณ โรงพยาบาลเคมบริดจ์) รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ในเช้าวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๐

||พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ พระโอรสในสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์และหม่อมสังวาลย์ (พระยศในครั้งนั้น) เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๐ เวลา ๐๘.๔๕ น. ซึ่งตรงกับขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะของไทย ณ โรงพยาบาลเคมบริดจ์ (โรงพยาบาลเมานต์ออเบิร์นในปัจจุบัน) นครบอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
ดร.ดับบลิว. สจวต วิตต์มอร์ ผู้ถวายการประสูติ ได้ระบุด้วยลายมือลงในใบเกิดว่า “Baby Songkla” บิดาชื่อ มหิดล สงขลา อาชีพนักเรียนแพทย์ มารดาชื่อ สังวาลย์ ตะละภัฏ อาชีพแม่บ้าน
หลังจากที่พระโอรสประสูติได้ไม่ถึง ๓ ชั่วโมง สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกได้ส่งโทรเลขถวายสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีใจความว่า “ลูกชายเกิดเช้าวันนี้ สบายดีทั้งสอง ขอพระราชทานนามทางโทรเลขด้วย” และหลังจากนั้นอีก ๙ วัน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้พระราชทานนามว่า “ภูมิพลอดุลยเดช” ซึ่งมีความหมายว่า “พลังของแผ่นดินที่มีอำนาจหาใดเปรียบมิได้” ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” โดยคนทั่วไปจะเรียกพระองค์ว่า “พระองค์เล็ก”

– ๑๓ ธันวาคม ๒๔๗๑ เสด็จฯ นิวัตประเทศไทยเป็นครั้งแรก
||หลังจากที่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกทรงสำเร็จการศึกษาด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ทรงตั้งพระทัยที่จะไปฝึกงานแบบแพทย์ประจำบ้าน (Internship) ที่โรงพยาบาลศิริราช และจะพาสมาชิกครอบครัวมหิดลกลับมาประทับที่ไทยอย่างถาวร
การมาครั้งนี้เป็นการกลับมาประเทศไทยเป็นครั้งแรกของสองพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ ๘ และรัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี

– ๒๔ กันยายน ๒๔๗๔ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เสด็จสวรรคตในขณะที่พระองค์มีพระชันษาได้เพียง ๑ ปี ๙ เดือนเท่านั้น
– ๒๔๗๔ ทรงเข้าโรงเรียนเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนอนุบาลของมิสซิสเดวีส เป็นโรงเรียนขนาดเล็กเปิดสอนที่บ้านในกรุงเทพฯ 
– ๒๔๗๕ ทรงย้ายมาศึกษาต่อที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เนื่องจากโรงเรียนอนุบาลของมิสซิสเดวีส ปิดตัวลง
– ๘ เมษายน ๒๔๗๖ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในไทย ครอบครัวมหิดลได้ออกเดินทางไปยุโรปตามพระดำริของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
– ๙ ธันวาคม ๒๔๗๖ เดินทางถึงโลซานน์, ช่วงที่ ๒:๒๔๘๐ – ๒๔๘๙;
https://www.cnmimuseum.com/wp-content/uploads/Zone-5-0.jpg;

– ๒๔๘๐ พระองค์มีพระอาการสายพระเนตรสั้น โดยผู้สังเกตเห็นความผิดปกติคือ ครูประจำชั้น เห็นว่าเวลาทรงลอกอะไรจากกระดานดำต้องทรงลุกขึ้นไปบ่อยๆ จึงต้องฉลองพระเนตร (สวมแว่นตา) ตั้งแต่ยังไม่ ๑๐ พระชันษา
– ๒๔๘๐ ทรงร่วมกันตั้งสโมสร “ปาตาปุม”
||พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘ และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทรงร่วมกันตั้งสโมสรปาตาปุม (Club Patapoum) ขึ้นมา เพื่อการหาความสนุกและในขณะเดียวกันก็เป็นการทำบุญ เงินของสโมสรมาจากค่าสมาชิกและจากการหารายได้ ค่าสมาชิกนั้นคือส่วนหนึ่งของเงินที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีให้ทั้งสองพระองค์ทุกสัปดาห์ ถ้าองค์ใดได้ของขวัญเป็นเงินจะต้องเสียภาษีให้สโมสร บางครั้งก็มีการหารายได้พิเศษ เช่นการออกขายสลากด้วยของที่อยู่ จะมีการเก็บภาษีจากรายได้ร้อยละ ๕๐ ไว้สำหรับคนจน
– ๑๕ พฤศจิกายน ๒๔๘๑ เวลา ๐๖.๐๐ น. เรือถึงเกาะสีชัง เสด็จนิวัตประเทศไทยพร้อมกับพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘
– ๑๓ มกราคม ๒๔๘๒ (ตามปีปฏิทินปัจจุบัน) เสด็จกลับสวิตเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษาต่อ
– ๒๔๘๔ ทรงเก็บเงินซื้อแซกโซโฟนมือสองในราคา ๓๐๐ ฟรังก์ โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง (สนับสนุนโดยสโมสรปาตาปุม) และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงออกให้อีกครึ่งหนึ่ง
– ๒๔๘๘ ทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโลซานน์ในคณะวิทยาศาสตร์
– ๕ ธันวาคม ๒๔๘๘ หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลง ทรงเสด็จนิวัตพระนครเป็นครั้งที่ ๒ ซึ่งทรงเจริญพระชนมายุ ๑๘ พรรษาพอดี กลับมาครั้งนี้ทรงเติบโตเป็นสุภาพบุรุษหนุ่มที่สง่างามด้วยพระราชจริยวัตรอันอ่อนโยนและมีเมตตา
– เมษายน ๒๔๘๙ ทรงพระราชนิพนธ์เพลงแรก “แสงเทียน” ขณะมีพระชนมายุ ๑๘ พรรษา
– ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลาใกล้ ๐๙.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคต
||เช้าวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ เหตุการณ์ที่ทำร้ายจิตใจคนไทยอย่างรุนแรงที่สุดก็ได้เกิดขึ้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคตอย่างกระทันหัน เหล่าพสกนิกรไม่อาจทำใจให้เชื่อได้เลยว่าเป็นเรื่องจริง แต่ความเศร้าโศกใดที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจเทียบได้กับความทุกข์โทมนัสที่ต้องพลัดพรากจากผู้อันเป็นที่รักของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (พระยศในขณะนั้น) ผู้ทรงสูญเสียสมเด็จพระบรมเชรษฐาธิราชผู้เป็นทั้งพี่และเพื่อนสนิทที่สุด
วิกฤตการณ์อันโหดร้ายที่สุดในพระชนม์ชีพครั้งนี้ไม่เพียงทำให้พระราชหฤทัยแทบแหลกสลาย หากแต่ยังได้เปลี่ยนพระชะตาชีวิตของพระองค์ไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อสภาผู้แทนราษฎรมีการประชุมอย่างเร่งด่วนและลงมติเป็นเอกฉันท์ให้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
แม้จะเป็นเรื่องยากต่อการทำพระราชหฤทัยเพียงใดที่ไม่มีสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชอีกแล้ว แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป มุ่งหน้าสู่เส้นทางชีวิตใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

– ๑๙ สิงหาคม ๒๔๘๙ ทรงอำลาพสกนิกร เพื่อเสด็จฯกลับไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ การกลับไปครั้งนี้พระองค์ทรงเสียสละที่จะละทิ้งสาขาวิทยาศาสตร์ที่ทรงโปรด มาเรียนสาขาการปกครองแทน
||ในวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระราชดำรัสอำลาพสกนิกรไทยทางวิทยุกระจายเสียง เพื่อเสด็จฯ กลับไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใจความว่า“ข้าพเจ้ามีความจำเป็นที่จะต้องจากประเทศไทยและพวกท่านทั้งหลาย เพื่อไปศึกษาต่อให้มีความรู้ด้านใหม่”
ในการนี้ทรงตั้งพระทัยที่จะเปลี่ยนสาขาการเรียนจากวิทยาศาสตร์มาศึกษาด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์แทน เนื่องจากทรงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าสำหรับพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์, ช่วงที่ ๓:๒๔๙๐ – ๒๔๙๙;
https://www.cnmimuseum.com/wp-content/uploads/โซน-5-3-1.jpg;

– พ.ศ. ๒๔๙๑ ระหว่างประทับอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จประพาสกรุงปารีสเพื่อทอดพระเนตรโรงงานทำรถยนต์ และเสด็จฯ ไปเสวยพระกระยาหารค่ำ ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ได้ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสในขณะนั้น กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร ซึ่งกำลังศึกษาด้านดนตรีอยู่ที่ปารีส และในปีต่อมา ได้ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร โดยมีพิธีเป็นการภายใน ณ โรงแรมวินเซอร์ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

– พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้เสด็จนิวัติประเทศไทยพร้อมพระคู่หมั้น โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสอย่างเรียบง่ายในวังสระปทุม โดยสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานในพระราชพิธี เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ อยู่เคียง “คู่พระบารมี” นับแต่นั้นเป็นต้นมา, ช่วงที่ ๔:๒๕๐๐ – ๒๕๐๙;
https://www.cnmimuseum.com/wp-content/uploads/zone-5บวช.jpg;

– หลังเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ๑๐ ปี
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชศรัทธาอันแน่วแน่ที่จะทรงพระผนวชในพระบวรพุทธศาสนาตามโบราณราชประเพณี จึงเสด็จออกทรงพระผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ แล้วเสด็จฯ ไปประทับ ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา ๑๕ วัน ในระหว่างทรงดำรงสมณเพศ ได้ทรงศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เช่นเดียวกับพระภิกษุอื่น ๆ

– ทรงลาสิกขาและกลับสู่พระราชภาระในฐานะพระมหากษัตริย์
เมื่อทรงลาสิกขาและกลับสู่พระราชภาระในฐานะพระมหากษัตริย์ ก็ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเกื้อหนุนทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่ทุกศาสนาในประเทศไทยอย่างทั่วถึง อีกทั้งยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรม ที่น้อมนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาใช้ในการครองตน ครองคน ครองงาน อย่างประเสริฐจนเกิดผลดีเป็นที่ประจักษ์ชัดมาตลอดรัชสมัยของพระองค์, ช่วงที่ ๕:๒๕๑๐ – ๒๕๑๙;
https://www.cnmimuseum.com/wp-content/uploads/zone-5-ถ่ายรูป.jpg;

– พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โปรดการถ่ายภาพมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พระราชอัธยาศัยด้านการถ่ายภาพนี้น่าจะทรงได้ต้นแบบมาจากสมเด็จพระบรมราชชนนี เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ ก็ยังทรงถ่ายภาพมาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งภาพถ่ายบุคคล ครอบครัว ทิวทัศน์ สัตว์เลี้ยง ฯลฯ และเมื่อเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ได้ทรงถ่ายภาพราษฎรที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ และผู้คนที่ทรงพบเห็น ภาพภูมิประเทศ เส้นทางคมนาคม ทั้งจากแนวพื้นราบ บนภูเขาสูง และจากเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง
– ภาพถ่ายของพระองค์มิได้ทรงถ่ายเป็นงานศิลปะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางวิชาการ นำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร ดั่งพระราชดำรัสของพระองค์ความว่า
“…การถ่ายรูปเป็นงานศิลปะ เป็นของดีมีประโยชน์ ขออย่าให้ถ่ายรูปกันเพื่อความสนุกสนานหรือความสวยงามเท่านั้น จงใช้ภาพให้เกิดคุณค่าต่อสังคม ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม งานศิลปะจะได้ช่วยพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้อีกแรงหนึ่ง…”
– ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ที่มีเป็นจำนวนมากตลอดช่วงเวลาที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ โปรดให้มีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบและได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำไปจัดแสดงในงานนิทรรศการภาพถ่ายต่าง ๆ ตามโอกาส ซึ่งได้กลายเป็นบันทึกความเปลี่ยนแปลงของประเทศและสังคมไทยที่มีคุณค่าและอยู่ในความทรงจำของปวงชนชาวไทยตลอดไป, ช่วงที่ ๖:๒๕๒๐ – ๒๕๒๙;
https://www.cnmimuseum.com/wp-content/uploads/zone-5-เล่นดนตรี.jpg;

– พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงได้รับการยกย่องให้เป็นองค์อัครศิลปิน ด้วยเพราะทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านศิลปะเกือบทุกแขนง ทรงสร้างสรรค์ผลงานไว้เป็นคุณูปการแก่แผ่นดินนับอเนกอนันต์ โดยเฉพาะในด้านดนตรี เนื่องจากทรงมีความสนพระราชหฤทัยทางด้านดนตรีมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงเริ่มเรียนและฝึกฝนดนตรีมาตั้งแต่ครั้งศึกษาที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
– ทรงพระราชนิพนธ์เพลงด้วยพระองค์เองมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๕๓๘ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ทั้งสิ้น ๔๘ เพลง มีเพลงแสงเทียน ยามเย็น สายฝน ใกล้รุ้ง ชะตาชีวิต เป็นต้น และอีกหลายบทเพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ให้ความหวัง เป็นขวัญและกำลังใจ รวมถึงสร้างความสุขให้แก่ประชาชน และทรงใช้ดนตรีในการกระชับความสัมพันธ์กับนานาประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยทรงเข้าร่วมบรรเลงกับวงดนตรีของประเทศต่างๆ ที่ได้เสด็จฯเยือน ทำให้ชาวโลกประจักษ์ถึงพระปรีชาสามารถทางด้านดนตรีของพระองค์ได้อย่างชัดเจน, ช่วงที่ ๗:๒๕๓๐ – ๒๕๔๐;
https://www.cnmimuseum.com/wp-content/uploads/zone-5-องค์ที่-7.jpg;

– “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” พระปฐมบรมราชโองการ พระราชทานในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีแห่งการครองราชย์ ภาพที่คนไทยได้เห็นและคุ้นตา คือ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จฯ ไปในพื้นที่ชนบทห่างไกล
และทุรกันดาร ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ทุกตารางนิ้ว ทุกถิ่นทุรกันดาร เพื่อเยี่ยมเยียนดูแลทุกข์สุขของราษฎร
– พระองค์จะเสด็จฯ ไปให้ถึงที่หมายทุกแห่ง ทรงมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความทุกข์ยากและพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรในทุก ๆ ด้าน จนก่อเกิดเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมายหลายพันโครงการ แม้พระชนมพรรษามากขึ้น แต่ก็มิเคยหยุดทรงงาน เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้รับประโยชน์สุข ตามคำมั่นสัญญาที่ทรงให้ไว้ทุกประการ, ช่วงที่ ๘:๒๕๔๐ – ๒๕๔๙;
https://www.cnmimuseum.com/wp-content/uploads/zone-5-องค์ที่-8.jpg;

– วันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ (ปีสุดท้ายในการเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยมหิดล) ช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีของเหล่าบัณฑิต ที่ได้ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ ผ่านการได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ควรจดจำไปตลอดชีวิต พระองค์ทรงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ จากนั้นได้เสด็จฯ ไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาอีกมากมายต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
– พระองค์ต้องประทับอยู่เป็นเวลานานหลายชั่วโมงเพื่อพระราชทานปริญญาบัตรให้แก่บัณฑิตนับพันคน ทรงตระหนักได้ถึงความปวดเมื่อยและไม่สบายพระวรกาย แต่ทรงปล่อยวางไม่ยึดติดกับความรู้สึกนั้น เพื่อพระราชทานเกียรติและให้กำลังใจแก่บัณฑิตใหม่ทุกคน ทรงปฏิบัติพระราชกิจนี้สืบเนื่องมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งเมื่อมีพระชนมพรรษามากขึ้น ประกอบกับทรงพระประชวร จึงต้องยุติพระราชกิจลงเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒, ช่วงที่ ๙:๒๕๕๐ – ๒๕๕๙;
https://www.cnmimuseum.com/wp-content/uploads/zone-5-องค์ที่-9.jpg;

– ในช่วงท้ายของพระชนมชีพ เป็นช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ ไปประทับในโรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่เพื่อรักษาพระอาการประชวร แต่เวลาทุกนาทีของพระองค์มีค่าเพื่อประชาชน พระองค์ยังคงทรงงานไม่เคยว่างเว้น ทรงติดตามความเป็นไปในบ้านเมืองอยู่ตลอดเสมอมา
– ตลอดพระชนมชีพ ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม ทรงปกครองด้วยความรักประชาชนของพระองค์โดยแท้จริง ตราบเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตไปตามสัจธรรมของธรรมชาติ คุณงามความดีของพระองค์ยังคงติดตราตรึงในดวงใจของพสกนิกรทั้งประเทศตลอดกาลนาน

พระราชประวัติตลอดพระชนม์ชีพ ตั้งแต่ พ.ศ.2470 – 2559

ประติมากรรม ๙ ช่วงชีวิต สื่อถึงชีวิตใดๆ นั้นล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แท้จริงแล้วไม่มีตัวตนที่แท้จริง ถึงเวลาก็ดับสลายไปตามเหตุปัจจัย ชีวิตควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้ก่อเกิดความผาสุกทางจิตวิญญาณเป็นความรู้สึกภายในจิตใจของบุคคล ที่แสดงถึงภาวะสงบ เป็นสุข มีความเข้มแข็งในจิตใจ ยอมรับความจริง มีเป้าหมายในชีวิต มีความหวัง ยอมรับและพึงพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ของตนเอง  มีกำลังใจในการเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จึงควรหมั่นทำความดี หากแม้ตัวตนจะแตกสลายดับไปแต่ความดีนั้นยังคงอยู่ยืนยาว โดยมีในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นแบบอย่าง

ความเอาพระราชหฤทัยใส่ต่อพระราชกรณียกิจตลอดกว่า 70 ปี

สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงอย่างเป็นที่ประจักษ์ คือ ความเอาพระราชหฤทัยใส่ต่อพระราชกรณียกิจตลอดกว่า 70 ปีในฐานะประมุขของประเทศ ทรงเป็นแบบอย่างให้เราในฐานะผู้ที่มีสามัญลักษณะเช่นกัน ได้ดำเนินชีวิตให้เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นในโอกาสที่เราได้ตั้งอยู่และดับไปในที่สุด

แบบฟอร์มการจองวัน - เวลา
เพื่อเข้าชมนิทรรศการ

สำหรับบุคคลทั่วไป เที่ยวชมตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐-๑๘.๐๐ น.

ค่าเข้าชมสำหรับบุคคลทั่วไป (คนไทย) 

ค่าเข้าชมสำหรับบุคคลทั่วไป (ชาวต่างประเทศ)

ผู้ใหญ่ ท่านละ xxx บาท  เด็ก(๖-๑๔ ปี) ท่านละ xxx บาท

ผู้ใหญ่ ท่านละ xxx บาท  เด็ก(๖-๑๔ ปี) ท่านละ xxx บาท

การเดินทาง

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Morbi ullamcorper urna at nibh interdum porta. Aenean fermentum eros at ligula ullamcorper, sed placerat risus tincidunt.

สามารถติดต่อเวลาทำการ 10.00 – 17.00 น. ได้ที่เบอร์ xxx-xxxxxx

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit.

แผนที่การเดินทางGoogle Map

มูลนิธิรามาธิบดีฯ

จัดทำเพื่อเป็นพื้นที่ประชาสัมพันธ์มูลนิธิสุขุโม องค์กรส่งเสริมและสนับสนุนด้านการศึกษา กีฬา การแพทย์ ศาสนา และสาธารณกุศลต่างๆ โดยไม่หวังผลกำไร ในวาระที่ได้สนันสนุนโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งปัญญา “องค์จักรีนฤบดินทร์บันดาลใจ” สถาบันการแพทย์ จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ร่วมสนับสนุนเรา